วัดอุดมมงคล (หลวงพ่ออุตตมะ)

วัดอุดมมงคล (หลวงพ่ออุึตตมะ) ยินดีต้อนรับ ทุกท่านที่มาชม....

30/6 ม.4 ต.ท่าไข่ อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา 24000

วันจันทร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2555

วัดอุดมมงคล ฉะเชิงเทรา


           เนื่องด้วยทางวัดมีความยินดีเป็นอย่างมากที่หลังจากได้ดำเนินการก่อสร้าง

"รูปปั้นเหมือนพระราชอุดมมงคล"  องค์ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออก แล้วเสร็จประมาณ  90 % เมื่อมีข่าว

ประกาศออกไปสู่สายตาประชาชน ทั้งทางสถานีโทรทัศน์สัญญานดาวเทียมจานดำ ทางช่อง PSK

ช่อง ลูกทุ่งลายไทย และเมื่อวัน พุธ ที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 ที่ผ่านมา ทางสถานีโทรทัศน์ ททบ 5

ในรายการ "สาระสยาม" ในนำเสนอวัดอุดมมงคลของเราในรายการ ยิ่งสร้างความสนใจให้แก่ผู้ที่พบ

เห็นและพุทธศาสนิกชนเป็นอย่างยิ่ง จากสถิติที่ผ่านมา เสาร์-อาทิตย์ จะมีญาติโยมเข้ามาทำบุญมาก

ขึ้น จากรายงานงานดังกล่าง ทางท่านเจ้าอาวาส "พระครูวิจิตรสรคุณ" มีความคิดที่จะพัฒนาวัดอุดม

มงคลแห่งนี้ ให้เปฝ้นแหล่งท่องเที่ยวทางศาสนสถานให้ได้

วัดอุดมมงคล

วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2555

วัดอุดมมงคล หลวงพ่ออุตตมะ ฉะเชิงเทรา

 หลวงพ่อหินหยกขาว

 รูปมองระยะไกล

 ภาพในอุโบสถ


อุโบสถ รูปเรือ

วัดอุดมมงคล ฉะเชิงเทรา

  ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพบรรพชา"สามเณรภาคฤดูร้อน"  รูปละ ๓๐๐ บาท

และ ร่วมเป็นเจ้าภาพผ้าป่าสามัคคี

 ณ วันที่ ๕ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๕ ณ วัดอุดมมงคล (หลวงพ่ออุตตมะ)

๓๐/๖ ม.๔ ต.ท่าไข่ อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา

ติดต่อสอบถามได้ที่ "พระครูวิจิตรสรคุณ" เจ้าอาวาสวัดอุดมมงคล  โทร. ๐๘๗ ๐๗๐ ๕๑๔๗

วันพุธที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2555

ประวัติพระาชอุดมมงคล (หลวงพ่ออุตตมะ) 2


พระราชอุดมมงคล หรือ “พระมหาอุตตมะรัมโภภิกขุ” หรือที่รู้จักกันทั่วไปในนามของ “หลวงพ่ออุตตมะ” พระเกจิอาจารย์ชื่อดังของจังหวัดกาญจนบุรี ทั้งยังเป็นพระภิกษุสงฆ์ชาวมอญ ผู้มีบทบาทผู้นำคนสำคัญของชาวมอญพลัดถิ่นที่สังขละบุรี



ประวัติหลวงพ่ออุตตมะ







สะพานไม้ สร้างด้วยแรงศรัทธาของชาวมอญ
กำเนิดวัดหลวงพ่ออุตตมะ



ผลงานของหลวงพ่อ ผู้บำเพ็ญตนเพื่อสาธารณประโยชน์

พระอุโบสถกลางน้ำ(หลังเก่า)


กุฏิสงฆ์


หอระฆังกลางน้ำ


เจดีย์พุทธคยา
หลวงพ่ออุตตมะเกิดเมื่อวันอาทิตย์ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 4 ปีจอ จุลศักราช 1272 (พ.ศ. 2453) ที่หมู่บ้านโมกกะเนียง ตำบลเกลาสะ อำเภอเย จังหวัดมะละแหม่ง เป็นบุตรของนายโงและนางทองสุข อาชีพทำนา มีพี่น้องรวม 12 คน เนื่องจากเป็นทารกเพศชายเกิดในวันอาทิตย์จึงมีชื่อว่า “เอหม่อง”
ปี พ.ศ. 2462 ขณะเด็กชายเอหม่องมีอายุได้ 9 ขวบ เกิดอหิวาตกโรคระบาดขึ้นในหมู่บ้าน บิดามารดาจึงพาเด็กชายเอหม่องไปฝากกับพระอาจารย์นันสาโรแห่งวัดโมกกะเนียงผู้เป็นลุงเพื่อให้ปรนนิบัติรับใช้และศึกษาพระธรรมเป็นเครื่องคุ้มครองจากโรคภัย เด็กชายเอหม่องเป็นผู้ใฝ่ใจในการศึกษาอย่างยิ่ง จนสามารถสอบได้ชนะเด็กในวัยเดียวกันเป็นประจำทุก ๆ ปี
ปี พ.ศ. 2467 เด็กชายเอหม่องอายุได้ 14 ปี เกิดอหิวาตกโรคระบาดครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ส่งผลให้ต้องสูญเสียน้องชายถึง 5 คน เด็กชายเอหม่องจึงขอออกจากวัดโนกกะเนียงเพื่อมาช่วยเหลือทางบ้านด้วยความขยันขันแข็ง จนกระทั่งอายุ 18 ปี เจ้าอาวาสวัดเกลาสะได้ไปขอกับบิดามารดาให้เด็กชายเอหม่องไปบรรพชาเป็นสามเณร
หลวงพ่ออุตตมะบรรพาเป็นสามเณร ณ วัดเกลาสะ ตำบลเกลาสะ อำเภอเย จังหวัดมะละแหม่ง เมื่อจุลศักราช 1291 (พ.ศ. 2472) โดยมีพระเกตุมาลาเป็นพระอุปัชฌาย์ ปีนั้นเองหลวงพ่อศึกษาภาษาบาลี และพระปริยัติธรรมจนสอบได้นักธรรมตรี อีกปีหนึ่งต่อมาสอบได้นักธรรมโท แต่ไม่นานหลวงพ่อก็ตัดสินใจสึกออกมาเพราะเห็นว่าไม่มีใครช่วยบิดามารดาทำนา
จนกระทั่งหม่องเอ ซึ่งเป็นลูกของพี่สาวของบิดา ได้มาอาศัยอยู่ด้วย หลังจากที่บิดามารดาของหม่องเอเสียชีวิตจนหมดสิ้น ซึ่งเท่ากับว่ามีคนมาช่วยแบ่งเบาภาระในการทำนา และมีญาติซึ่งไว้วางใจได้มาคอยดูแลบิดามารดา หลวงพ่ออุตตมะจึงตัดสินใจอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดเกลาสะ โดยมีพระเกตุมาลา วัดเกลาสะ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระนันทสาโร วัดโมกกะเนียง เป็นพระกรรมวาจารย์ พระวิสารทะ วัดเจ้าคะเล เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2476 ได้รับฉายาว่า “อุตตมรัมโภ” แปลว่า ผู้มีความพากเพียรอันสูงสุด” โดยหลวงพ่ออุตตมะได้ตั้งเจตจำนงที่จะบวชไม่สึกจนตลอดชีวิต
ด้วยความพากเพียรและใฝ่ใจในการศึกษาพระธรรม ในปี พ.ศ. 2474 หลวงพ่ออุตตมะสามารถสอบได้ นักธรรมชั้นเอก ณ สำนักเรียนวัดปราสาททอง อำเภอเย จังหวัดมะละแหม่ง ต่อมาในปี พ.ศ. 2484 สอบได้เปรียญธรรม 8 ประโยค ที่สำนักเรียนวัดสุขการี อำเภอสะเทิม จังหวัดสะเทิม ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของคณะสงฆ์ในประเทศพม่า ขณะนั้นบ้านเมืองกำลังเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 หลวงพ่อจึงเดินทางกลับวัดเกลาสะ และได้รับมอบหมายให้เป็นอาจารย์สอนภาษาบาลีแก่ภิกษุสามเณร
ต่อมาท่านก็ลาพระอุปัชฌาย์เดินทางไปศึกษาวิปัสนากรรมฐานที่วัดตองจอย จังหวัดมะละแหม่ง และวัดป่าเลไลย์ จังหวัดมัณฑะเลย์ จนมีความรู้ความสามารถในเรื่องวิปัสนากรรมฐานตลอดจนวิชาไสยศาสตร์และพุทธคมเป็นอย่างดี ปี พ.ศ. 2486 หลวงพ่อจึงเริ่มออกธุดงค์เพื่อหาประสบการณ์
หลวงพ่ออุตตมะออกธุดงค์ไปตามที่ต่าง ๆ ในประเทศพม่า และเข้ามาประเทศไทยครั้งแรกทางจังหวัดเชียงใหม่ ต่อมาทราบข่าวว่าพระเกตุมาลา พระอุปัชฌาย์กำลังอาพาธ จึงรีบเดินทางกลับพม่า จนกระทั่งพระเกตุมาลามรณภาพ ท่านก็ได้เดินทางเข้ามาประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง โดยครั้งนี้ หลวงพ่อเดินทางเข้ามาทางตำบลปิล็อก อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ประมาณปี พ.ศ. 2492
และใน ปี พ.ศ. 2492 อันเป็นพรรษาที่ 16 ของพระมหาอุตตมะรัมโภ พายุไต้ฝุ่นพัดจากทะเลอันดามัน สร้างความเสียหายให้กับชาวบ้านอย่างใหญ่หลวง โดยเฉพาะบ้านโมกกะเนียง และเกลาสะ มีผู้เสียชีวิตมากกว่าร้อยคน บ้านเรือนเหลือเพียงไม่กี่หลังคาเรือน ชาวบ้านลำบากยากแค้นแสนสาหัส ข้าวของอาหารการกินขาดแคลนกันทั่วหน้า
นอกจากภัยธรรมชาติแล้ว ชาวบ้านยังต้องประสบเคราะห์กรรมจากปัญาความขัดแย้งในทางการเมืองอีกด้วย เนื่องจากการปะทะและต่อสู้ระหว่าง กองทหารของรัฐบาลพม่า กับกองกำลังติดอาวุธกู้ชาติ อีกทั้งกองกำลังกู้ชาติบางกลุ่มแปรตัวเองไปเป็นโจรปล้นสดมภ์ชาวบ้าน
ด้วยความเบื่อหน่ายเรื่องการรบราฆ่าฟันกัน ระหว่างชนเผ่า หลวงพ่ออุตตมะจึงตัดสินใจจากบ้านเกิด มุ่งหน้าสู่ดินแดนประเทศไทย เป้าหมายที่แท้จริงของท่านในเวลานั้น คือเขาพระวิหาร ปรากฏว่าเมื่อชาวบ้านรู้ข่าวต่างเสียใจ ไม่อยากให้ท่านจากไปพากันร้องไห้ระงมด้วยความอาลัย ซึ่งท่านได้ชี้แจงการออกเดินทางของท่านว่า “การไปของเราจะเป็นปรหิต เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น”
หลวงพ่อเดินทางเข้าเมืองไทยในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2492-2493 ทางหมู่บ้านอีต่อง ตำบลปิล็อก ชายแดนเขตจังหวัดกาญจนบุรี โดยได้รับความช่วยเหลือจากคนไทยสองคน ซึ่งมีเชื้อสายมอญพระประแดงที่มาทำเหมืองแร่ที่บ้านอีต่อง ทั้งคู่ได้จัดบ้านพักหลังหนึ่งให้เป็นกุฏิชั่วคราวของหลวงพ่อ มีชาวเหมืองจำนวนมากมาทำบุญกับหลวงพ่อ เนื่องจากพื้นที่บริเวณนั้นไม่มีวัดและพระสงฆ์เลย
เดิมทีนั้น คนไทยเชื้อสายมอญพระประแดงทั้งสอง ต้องการสร้างกุฏิถวายหลวงพ่ออุตตมะให้จำพรรษาอยู่ที่บ้านอีต่อง แต่หลวงพ่อไม่รับ เนื่องจากเกรงว่าจะกลายเป็นพระเถื่อนเข้าเมืองไทย ท่านจึงต้องการไปขออนุญาตจากพระผู้ใหญ่ที่ปกครองเขตปิล็อกเสียก่อน ทั้งสองจึงพาหลวงพ่ออุตตมะ มาจำพรรษาที่วัดท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี กับหลวงพ่อไตแนม ซึ่งเป็นชาวกะเหรี่ยงและอุปสมบทที่วัดเกลาสะเช่นเเดียวกับหลวงพ่ออุตตมะ
ปี พ.ศ. 2494 ขณะจำพรรษาที่วัดท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี หลวงพ่ออุตตมะมีโอกาสไปสักการะพระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม ทำให้หลวงพ่อได้พบชาวไทยเชื้อสายมอญ ที่มาจากเมืองต่าง ๆ เช่น แม่กลอง สมุทรสาคร มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งได้นิมนต์หลวงพ่อ ไปจำพรรษาที่วัดบางปลา ตำบลบ้านเกาะ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร
หลังจากเดินทางกลับจากวัดบางปลา มาจำพรรษาที่วัดท่าขนุน หลวงพ่อไตแนมขอให้หลวงพ่ออุตตมะ ไปจำพรรษาที่วัดปรังกาสีซึ่งเป็นวัดร้าง บริเวณวัดปรังกาสีมีชาวกะเหรี่ยงอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และบริเวณนั้นไม่มีพระหรือวัดอื่นเลย หลวงพ่อร่วมกับกำนันชาวกะเหรี่ยงนิมนต์พระกะเหรี่ยง จากตลอดแม่น้ำแควใหญ่และแควน้อยได้ 42 รูป มาอยู่ปริวาสที่วัดปรังกาสี 9 วัน 9 คืน หลัง
จากนั้นก็สร้างกุฏิและเจดีย์ขึ้น หลวงพ่อนิมนต์พระกะเหรี่ยงมาจำพรรษาที่วัด 3 รูป ท่านสอนภาษามอญแก่พระทั้ง 3 รูปนี้ เพื่อเป็นพื้นฐานในการสอนธรรมะต่อไป
หลวงพ่ออุตตมะจำพรรษาอยู่วัดปรังกาสีหนึ่งพรรษา ต่อมาผู้ใหญ่ทุม จากท่าขนุนมานิมนต์หลวงพ่อไปเยี่ยมหลวงปู่แสงทีวัดเกาะ อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ซึ่งเคยไปจำพรรษาที่วัดโมกกะเนียง เกลาสะ และมะละแหม่งมาก่อน และในพรรษานั้น หลวงพ่ออุตตมะได้จำพรรษาอยู่ที่วัดเกาะ ตามคำนิมนต์ของหลวงปู่แสง
ปี พ.ศ. 2494 ขณะที่หลวงพ่อจำพรรษาอยู่ที่วัดเกาะ มีคนมาแจ้งข่าวแก่หลวงพ่อว่า ที่กิ่งอำเภอสังขละบุรีมีชาวมอญจากบ้านเดิมของหลวงพ่ออพยพเข้าเมืองไทย ทางทางบีคลี่เป็นจำนวนมาก และต้องการนิมนต์หลวงพ่อไปเยี่ยม เมื่อหลวงพ่ออุตตมะออกจากจำพรรษา แล้วเดินทางกลับไปยังอำเภอทองผาภูมิ และไปยังอำเภอสังขละบุรี และพบกับคนมอญทั้งหมดที่มาจากโมกกะเนียง เจ้าคะเล และมะละแหม่ง บ้านเกิดของท่าน หลวงพ่อจึงพาชาวมอญเหล่านี้ไปอาศัยอยู่ที่บ้านวังกะล่าง นับเป็นจุดกำเนิดแรกเริ่มของชุมชนชาวมอญในสังขละบุรี
ในปี พ.ศ. 2499 หลวงพ่ออุตตมะ ร่วมกับชาวบ้านที่เป็นชาวกะเหรี่ยงและชาวมอญได้พร้อมใจกันสร้างศาลาวัดขึ้น และสร้างเสร็จในเดือน 6 ของปีนั้นเอง แต่เนื่องจากยังมิได้มีการขออนุญาตจากกรมการศาสนา วัดที่สร้างเสร็จจึงมีฐานะเป็นสำนักสงฆ์ แต่ชาวบ้านโดยทั่วไปเรียกว่า “วัดหลวงพ่ออุตตมะ” ตั้งอยู่บนเนินสูงในบริเวณที่เรียกว่า “สามประสบ” เพราะมีแม่น้ำ 3 สายไหลมาบรรจบกัน คือแม่น้ำซองกาเลีย แม่น้ำบีคลี่ และแม่น้ำรันตี
ในปี พ.ศ. 2505 เมื่อได้รับอนุญาตจากกรมการศาสนาเป็นที่เรียบร้อย หลวงพ่ออุตตมะจึงได้ตั้งชื่อสำนักสงฆ์ตามชื่ออำเภอเก่า (อำเภอวังกะ) ว่า “วัดวังก์วิเวการาม”
ในปี พ.ศ. 2513 หลวงพ่อเริ่มสร้างพระอุโบสถวัดวังก์วิเวการามโดยปั้นอิฐเอง
ในปี พ.ศ. 2518 หลวงพ่อได้เริ่มสร้างเจดีย์จำลองแบบจากเจดีย์พุทธคยาที่ประเทศอินเดีย และสร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2529
ตำแหน่งด้านการปกครองคณะสงฆ์และสมณศักดิ์
ปี พ.ศ. 2504 เป็นเจ้าอาวาสวัดวังก์วิเวการาม
ปี พ.ศ. 2505 เป็นเจ้าอาวาสวัดศรีสุวรรณาราม
ปี พ.ศ. 2509 เป็นพระกรรมวาจาจารย์
ปี พ.ศ. 2511 เป็นพระอุปัชฌาย์
ปี พ.ศ. 2512 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็น พระครูอุดมสิทธาจารย์ ตำแหน่งเจ้าคณะตำบลชั้นโท
ปี พ.ศ. 2516 ได้รับพระราชทานแต่งตั้งเป็นพระครูเจ้าคณะตำบลชั้นเอก
ปี พ.ศ. 2524 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ ที่ พระอุดมสังวรเถร
ปี พ.ศ. 2534 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็น พระราชอุดมมงคล

ประวัติพระราชอุดมมงคล (หลวงพ่ออุตตมะ) 1

หลวงพ่ออุตตมะ หรือ พระครูอุดมสิทธาจารย์ สมณศักดิ์ล่าสุดคือ พระราชอุดมมงคล พระเกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งวัดวังก์วิเวการาม ตำบลหนองลู อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี เป็นพระภิกษุที่ได้ความเคารพเลื่อมใสในหมู่คนไทยเชื้อสายมอญและชาวพุทธทั่วไป เป็นพระนักเดินธุดงคกรรมฐาน ออกเดินธุดงค์ไปบำเพ็ญธรรมอยู่บนเขา หลายครั้งเป็นเวลานาน

หลวงพ่ออุตตมะ เดิมชื่อ เอหม่อง เกิดเมื่อ พ.ศ. 2453 ที่หมู่บ้านโมกกะเนียง ตำบลเกลาสะ อำเภอเย จังหวัดมะละแหม่ง ประเทศพม่า เป็นบุตรคนโตในครอบครัวเชื้อสายมอญ จำนวน 12 คน ของนายโง และนางทองสุก หลังเรียนหนังสือจบจากพม่าเมื่ออายุ 18 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดเกลาสะ ได้ศึกษาภาษาบาลี และพระปริยัติธรรมจนสอบได้นักธรรมโท อุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดเกลาสะ ได้รับฉายาว่า อุตตมรัมโภ แปลว่า ผู้มีความพากเพียรอันสูงสุด โดยได้ตั้งเจตจำนงที่จะบวชไม่สึกจนตลอดชีวิต

เมื่อ พ.ศ. 2475 อุตตมรัมโภภิกขุสามารถสอบได้นักธรรมชั้นเอก จากสำนักเรียนวัดปราสาททอง อำเภอเย จังหวัดมะละแหม่ง ต่อมา พ.ศ. 2484 สอบได้เปรียญธรรม 8 ประโยค ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของคณะสงฆ์ในประเทศพม่า ที่สำนักเรียนวัดสุขการี อำเภอสะเทิม จังหวัดสะเทิม อุตตมรัมโภภิกขุจึงได้เดินทางไปศึกษาวิปัสสนากรรมฐานที่วัดตองจอย และวัดป่าเลไลยก์ จนมีความรู้ความสามารถในเรื่องวิปัสสนากรรมฐาน ตลอดจนวิชาไสยศาสตร์และพุทธคมเป็นอย่างดี และชอบออกเดินธุดงค์ไปตามที่ต่างๆในประเทศพม่า

อุตตมรัมโภภิกขุเข้ามาในประเทศไทยครั้งแรกทางจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ. 2486 โดยเดินธุดงค์มาจำพรรษาอยู่ที่วัดสวนดอก ก่อนจะออกธุดงค์ไป แม่ฮ่องสอน ตาก เชียงราย น่าน กาญจนบุรี

เนื่องจากเหตุการณ์บ้านเมืองในประเทศพม่าขณะนั้น อุตตมรัมโภภิกขุจึงเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยอีกครั้งทางหมู่บ้านอีต่อง ตำบลปิล็อก อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ขณะจำพรรษาอยู่ที่วัดเกาะ อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี มีคนมาแจ้งข่าวว่าที่สังขละบุรีมีชาวมอญจากบ้านเดิมของท่าน อพยพเข้าเมืองไทย และต้องการนิมนต์ท่านไปเยี่ยม ท่านได้พบกับชาวมอญที่อพยพมาจากโมกกะเนียง เจ้าคะเล และมะละแหม่ง และพาชาวมอญเหล่านี้ไปอาศัยอยู่ที่บ้านวังกะล่าง ถือเป็นจุดกำเนิดของชุมชนชาวมอญในสังขละบุรี

ในปี พ.ศ. 2499 หลวงพ่ออุตตมะร่วมกับชาวบ้านชาวกะเหรี่ยงและชาวมอญ ได้พร้อมใจกันสร้างศาลาวัดขึ้น มีฐานะเป็นสำนักสงฆ์ แต่ชาวบ้านโดยทั่วไปเรียกว่า วัดหลวงพ่ออุตตมะ ตั้งอยู่บนเนินสูงในบริเวณที่เรียกว่า สามประสบ เพราะมีแม่น้ำ 3 สายไหลมาบรรจบกัน คือแม่น้ำซองกาเลีย แม่น้ำบีคลี่ แม่น้ำรันตี ในปี พ.ศ. 2505 ได้รับอนุญาตจากกรมการศาสนาให้ใช้ชื่อว่า วัดวังก์วิเวการาม ซึ่งตั้งตามชื่ออำเภอวังกะ ในวัดมีการก่อสร้างเจดีย์จำลองแบบจาก เจดีย์พุทธคยา ประเทศอินเดีย เริ่มก่อสร้าง พ.ศ. 2518 แล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2529

ต่อมาทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตได้ก่อสร้างเขื่อนเขาแหลม หรือ เขื่อนวชิราลงกรณ์ ซึ่งเมื่อกักเก็บน้ำในปี พ.ศ. 2527 น้ำในเขื่อนเขาแหลมจะท่วมตัวอำเภอเก่ารวมทั้งหมู่บ้านชาวมอญ ทางวัดจึงได้ย้ายมาอยู่บนเนินเขาในที่ปัจจุบัน โดยทางราชการได้ช่วยเหลือในการอพยพผู้คนซึ่งมีอยู่ราว 1,000 หลังคาเรือน บนพื้นที่ 1,000 ไร่เศษ ส่วนบริเวณวัดหลวงพ่ออุตตมะเดิม ปัจจุบันจมอยู่ใต้น้ำ และมีชื่อเสียงเป็นสถานที่ท่องเที่ยว Unseen Thailand เป็นที่รู้จักในชื่อว่า วัดใต้น้ำ สังขละบุรี

หลวงพ่ออุตตมะ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระครูอุดมสิทธาจารย์ เมื่อ พ.ศ. 2512 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ ที่พระอุดมสังวรเถร เมื่อ พ.ศ. 2524 และได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็น พระราชอุดมมงคลพหลนราทร เมื่อ พ.ศ. 2534

หลวงพ่ออุตตมะ เข้ารับรักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราช ตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 ด้วยโรคไต โรคหัวใจ โรคปอด สมองขาดเลือดไปเลี้ยง ท่านไม่รู้สึกตัวและไม่สามารถลืมตาเองได้เป็นเวลากว่า 1 ปี จนกระทั่งเกิดอาการติดเชื้ออย่างรุนแรง และมรณภาพจากการติดเชื้อในกระแสโลหิตจากภาวะปอดอักเสบ เมื่อเวลา 7.22 น. ของวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2549 อายุรวม 97 ปี

ประวัติความเป็นมา ของ วัดอุดมมงคล (หลวงพ่ออุตตมะ) จังหวัดฉะเชิงเทรา

ประวัติความเป็นมา ของ วัดอุดมมงคล (หลวงพ่ออุตตมะ) จังหวัดฉะเชิงเทรา
วัดอุดมมงคล เป็นวัดที่พระเดชพระคุณพระราชอุดมมงคล หรือ หลวงพ่ออุตตมะเป็นผู้ริเริ่มในการสร้างวัด พร้อมด้วย พลเอกมงคล- อัมพรพิสิทฐิ์ โดยเริ่มจากการสร้างกุฎิรับรองญาติโยมและอุโบสถทรง-เรือ พร้อมด้วยกุฎิที่พักสงฆ์ ๒ ชั้น จำนวน ๑๐ ห้อง ทำถนนลาดยางเข้าสู่ภายในวัด พร้อมด้วยซุ้มประตูโดยมีศิษยานุศิษย์ร่วมสร้างถวายหลวงพ่อ-อุตตมะ ต่อมาเมื่อหลวงพ่ออุตตมะมรณภาพลง ทำให้วัดขาดพระจำพรรษา คณะสงฆ์และชาวบ้านจึงได้นิมนต์พระใบฎีกาสิทธิพงษ์ ธีรธมฺโม
จากวัดนครเนื่องเขต (วัดต้นตาล) มารักษาการเจ้าอาวาสและเป็นเจ้าอาวาสในเวลาต่อมา (พ.ศ.๒๕๕๐) พระใบฎีกาสิทธิพงษ์ ได้สานงานต่อจากหลวงพ่ออุตตมะโดยการพัฒนาวัดเริ่มจากเทลาดยางลานวัด สร้างศาลาแปดเหลี่ยม ศาลาธรรมสังเวช ฌาปณสถาน ซื้อที่ดินเพิ่มเติม ซ่อมแซมเสนาสนะต่างๆภายในวัด สร้างรูปหล่อเหมือนพระราชอุดมมงคล (หลวงพ่ออุตตมะ) ที่ทำจาก ทองเหลือง ขนาดหน้าตัก ๓๖ นิ้ว และสร้างศาลาปฏิบัติธรรมเพื่อประดิษฐานรูปเหมือนพระราชอุดมมงคลที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออก (ของโลกก็ว่าได้) เพื่อระลึกถึงคุณงามความดีของพระราชอุดมมงคล หรือที่รู้จักกันในนามของ "หลวงพ่ออุตตมะ" และเป็นที่สักการะบูชาแก่พุทธศาสนิกชนสืบไป
                                      ได้รับความเมตตาจากท่านเจ้าอาวาส              
                                                พระใบฎีกาสิทธิพงษ์ ธีรธมฺโม

ข้อมูลเจ้าอาวาสวัดอุดมมงคล (หลวงพ่ออุตตมะ) พระครูวิจิตรสรคุณ


ภูมิลำเนา บ้านเลขที่ ๒๗ หมู่ที่ ๓ ต.เนื่องเขต อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา
วันเกิด ๒๕ เมษายน พ.ศ.๒๕๑๕

วิทยฐานะ น.ธเอก

ปริญญาตรี พุทธศาสตร์บัณฑิต
ปริญญาโท บริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยปทุมธานี

ตำแหน่ง เจ้าอาวาสวัดอุดมมงคล

เลขาเจ้าคณะตำบลเนื่องเขต

โทรศัพท์ ๐๘๗-๐๗๐๕๑๔๗

วันอังคารที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2555

ประวัติความเป็นมา ของ วัดอุดมมงคล (หลวงพ่ออุตตมะ) จังหวัดฉะเชิงเทรา

วัดอุดมมงคล เป็นวัดที่พระเดชพระคุณพระราชอุดมมงคล หรือ หลวงพ่ออุตตมะเป็นผู้ริเริ่มในการสร้างวัด พร้อมด้วย พลเอกมงคล- อัมพรพิสิทฐิ์ โดยเริ่มจากการสร้างกุฎิรับรองญาติโยมและอุโบสถทรง-เรือ พร้อมด้วยกุฎิที่พักสงฆ์ ๒ ชั้น จำนวน ๑๐ ห้อง ทำถนนลาดยางเข้าสู่ภายในวัด พร้อมด้วยซุ้มประตูโดยมีศิษยานุศิษย์ร่วมสร้างถวายหลวงพ่อ-อุตตมะ ต่อมาเมื่อหลวงพ่ออุตตมะมรณภาพลง ทำให้วัดขาดพระจำพรรษา คณะสงฆ์และชาวบ้านจึงได้นิมนต์พระใบฎีกาสิทธิพงษ์ ธีรธมฺโม
จากวัดนครเนื่องเขต (วัดต้นตาล) มารักษาการเจ้าอาวาสและเป็นเจ้าอาวาสในเวลาต่อมา (พ.ศ.๒๕๕๐) พระใบฎีกาสิทธิพงษ์ ได้สานงานต่อจากหลวงพ่ออุตตมะโดยการพัฒนาวัดเริ่มจากเทลาดยางลานวัด สร้างศาลาแปดเหลี่ยม ศาลาธรรมสังเวช ฌาปณสถาน ซื้อที่ดินเพิ่มเติม ซ่อมแซมเสนาสนะต่างๆภายในวัด สร้างรูปหล่อเหมือนพระราชอุดมมงคล (หลวงพ่ออุตตมะ) ที่ทำจาก ทองเหลือง ขนาดหน้าตัก ๓๖ นิ้ว และสร้างศาลาปฏิบัติธรรมเพื่อประดิษฐานรูปเหมือนพระราชอุดมมงคลที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออก (ของโลกก็ว่าได้) เพื่อระลึกถึงคุณงามความดีของพระราชอุดมมงคล หรือที่รู้จักกันในนามของ "หลวงพ่ออุตตมะ" และเป็นที่สักการะบูชาแก่พุทธศาสนิกชนสืบไป

ได้รับความเมตตาจากท่านเจ้าอาวาส
พระใบฎีกาสิทธิพงษ์ ธีรธมฺโม